วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กองทัพเรือสหรัฐเปิดตัว SAFFiR สิงห์ผจญเพลิงพันธุ์แกร่ง


นักวิทยาศาสตร์จากกองทัพเรือสหรัฐ ได้พัฒนาหุ่นยนต์กู้ภัยที่จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ชวยนักดับเพลิง สำหรับกรณีต้องเข้าไปในพื้นที่อันตรายที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้ แต่จะใช้ SAFFiR หรือหุ่นยนต์ขนาดเท่าคนจริง เข้าไปทำหน้าที่แทน

กองทัพเรือสหรัฐได้เปิดตัว หุ่นยนต์กู้ภัย SAFFiR (Shipboard Autonomous Firefighting) รุ่นต้นแบบ ซึ่งคราวนี้มันจะไม่ได้มาแบบ สองขา สามแขน ตัวเตี้ยๆ แบบที่เคยเห็นๆกัน แต่ตอนนี้มันจะมาในลักษณะของมนุษย์ ยืนสองขา มีสองแขน สูง 5 ฟุต หนัก 143 ปอนด์ เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ดับเพลิงที่ร่างกายเป็นเหล็กทั้งร่างนั้นเอง ทางนักวิทยาศาสตร์จากกองทัพเรือสหรัฐ ได้ออกแบบมาเพื่อการรับมือกับอัคคีภัยบนเรือโดยเฉพาะ ซึ่งมันจะสามารถช่วยเข้าไปในพื้นที่ที่มีความร้อนสูง ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้ และจะเข้าไปพร้อมถือสายยางดับเพลิงไปทำหน้าที่แทน ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ลูกเรือเกิดอันตรายจากการสัมผัสกับเพลิงโดยตรงนั้นเอง

ตัวหุ่น SAFFiR จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับควันไฟ และ ตรวจจับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ กับเซ็นเซอร์อินฟราเรดเพื่อที่ให้หุ่นสามารถมองผ่านควันไฟที่หนาแน่นได้ ส่วนการเคลื่อนไหวก็ออกแบบมาให้มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์ เวลาปฏิบัติหน้าที่ จะมีโดรน (quadcopter) หนึ่งตัว หรือ DC-21 โดยโดรนตัวดังกล่าว จะเข้าไปนำทางให้ก่อน และจะทำการตรวจสอบพื้นที่โดยรวม เสร็จแล้วค่อยส่งเจ้าหุ่น SAFFiR นี้ตามเข้าไปทีหลัง ตัวหุ่นจะมีผ้าคลุมกันไฟสวมเอาไว้ขณะเข้าพื้นที่อันตราย โดยจะมีการควบคุมจากระยะไกลอีกที Thomas McKenna หรือหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า ต่อไปในอนาคต อาจจะมีปฏิบัติการที่เรียกว่า hybrid force หรือ แผนปฏิบัติการการทำงานร่วมกันระหว่างของมนุษย์และหุ่นยนต์นั้นเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้

อย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากมันยังเป็นหุ่นต้นแบบ ดังนั้นยังต้องมีการพัฒนาอะไรอีกมาก จากในคลิปข้างล่าง จะเห็นได้ว่า การเคลื่อนที่นั้นยังช้าอยู่มาก ตัวเซ็นเซอร์ก็ยังไม่แม่นยำ ซ้ำร้าย ตัวของโดรนที่จะทำหน้าควบคู่กันนั้น จะบินได้แค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง เรียกได้ว่า ยังคงต้องพัฒนาอีกยาวไกล ขนาดทางกองทัพเองยังบอกเช่นกันว่า พวกเราจะต้องพัฒนาในเรื่องของความเร็ว สติปัญญา และความสามารถในการสื่อสาร ให้ดีกว่านี้ ส่วนข้อมูลอื่นๆ ยังไม่มีการเปิดเผยมากนักอย่างไรก็ตาม แค่นี้ก็เรียกได้แล้วว่า ยุคของหุ่นยนต์ อยู่ไม่ไกลแล้ว

ชื่นชมแม่ค้าเก็บเงินแสนคืนเจ้าของ


เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 29 ต.ค. ที่สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์สวพ.FM 91 คลื่นเพื่อข่าวสารความปลอดภัยและจราจรกองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติถนนพหลโยธินแขวงลาดยาว เขตจตุจักร น.ส.ไจตนย์ ศรีวังพล นายสกล ถาวรกาญจน์ ผู้บริหารสถานีฯ และนางเพียรวิภา ใจพะวังค์ อายุ 39 ปี แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวพลเมืองดีเก็บกระเป๋าสะพายสีดำ ภายในมีเงินสด 109,500 บาท พร้อมเอกสารสำคัญคืนให้ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร เจ้าของกระเป๋าซึ่งลืมไว้ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว-ข้าวแกง ภายในซอยพระราม 9 ซอย 11 หรือซอยโรงแรมรอยัลแปซิฟิก ถนนพระราม9 ของนางเพียรวิภา โดยทางสวพ.91 มอบเสื้อฮีโร่ ส่วน พ.ต.อ.โกวิท มอบเงิน 20,000 บาท ให้กับนางเพียรวิภา เพื่อเป็นการขอบคุณ และสินน้ำใจ
นางเพียรวิภา กล่าวว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา ตนพบกระเป๋าใบดังกล่าววางอยู่บนเก้าอี้ภายในร้าน ตอนแรกคิดว่าเป็นเพียงกระเป๋าเอกสารธรรมดาไม่ได้เปิดดู และคิดว่าไม่นานเจ้าของก็คงมารับคืน แต่รอกระทั่งร้านปิดก็ไม่พบว่ามีผู้มาขอรับคืน ตนจึงถือวิสาสะเปิดกระเป๋าออกดูก็ต้องตะลึงเมื่อพบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาทเป็นปึก ซึ่งประมาณด้วยสายตาน่าจะเป็นจำนวนแสนกว่าบาท ตนตกใจมาก ไม่กล้ารื้อต่อจึงโทรศัพท์ปรึกษานายพงษ์วิท สุวรรณพรม เพื่อนที่ทำงานอยู่ที่บริษัท แกรมมี่ ซึ่งแนะนำให้นำเงินที่เก็บส่งมอบคืนให้เจ้าของโดยประสานกับสถานีวิทยุ สวพ.91 ช่วยแจ้ง พ.ต.อ.โกวิท เพื่อมารับเงินคืนต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ไปซื้อโอวัลติลที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว-ข้าวแกง ดังกล่าว ระหว่างนั้นวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้เมื่อได้เครื่องดื่มก็เดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับรถออกไปทันที กระทั่งเวลา 21.00 น.ขณะที่จะซื้อของภายในห้างสรรพสินค้านึกได้ว่าลืมกระเป๋า และมีเพื่อนโทรฯมาบอกว่าทางสวพ.91 ได้ประกาศตามหาเจ้าของกระเป๋าดังกล่าว ตนต้องขอบคุณนางเพียรวิภา คนดีที่เก็บกระเป๋าได้ และพยายามติดต่อส่งคืน เป็นผู้ที่คิดถึงความรู้สึกของคนที่เดือดร้อน ตนจึงมอบเงิน 20,000 บาทเป็นสินน้ำใจในการทำความดีครั้งนี้ พร้อมทั้งอยากจะฝากให้ประชาชนในสังคมไทยเป็นคนดีแบบนางเพียรวิภาด้วย.

ลีน่าจัง ตะโกน หยุดได้แล้ว ขณะตำรวจตรวจเหตุบึ้มหน้าพารากอน

       
     ลีน่าจัง ตะโกน "หยุดได้แล้ว" หน้ารถไฟฟ้าสถานีสยาม ขณะที่ตำรวจเก็บหลักฐานเหตุบึ้มหน้าพารากอน

            จากเหตุการณ์ระทึกเมื่อคืนวานนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2558) ทำเอาประชาชนที่เดินผ่านไปผ่านมาย่านพารากอนถึงกับตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน ที่จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดและกลุ่มควันหนาตา ทำให้รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสยามต้องปิดใช้บริการชั่วคราว
            อย่างไรก็ตาม ทาง พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ระบุว่า เสียงดังกล่าวเกิดจากระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอม แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่ากลุ่มใดเป็นคนทำและทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร

            ส่วนล่าสุดเช้าวันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2558) ทางผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้ลงพื้นที่เก็บภาพความเสียหาย พร้อมทำข่าวระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บหลักฐานในจุดดังกล่าว โดยทางทวิตเตอร์ @Pacharapapon ได้โพสต์ภาพของ นางลีน่า จังจรรจา ที่ได้ลงพื้นที่ด้วยเช่นกัน โดยได้ตะโกนที่สถานีรถไฟฟ้าสยามว่า "หยุดได้แล้ว" 

             ทั้งนี ลีน่าจังให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่มายืนตะโกนว่า  อยากให้ผู้สร้างสถานการณ์ดังกล่าว หยุดการกระทำได้แล้ว เพราะทำให้ประเทศชาติเสียหาย หยุดทำร้ายประชาชนได้แล้ว ตนไม่มั่นใจว่าใครเป็นคนลงมือทำ แต่ก็ขอให้หยุด การรักษาความปลอดภัยในชีวิตก็เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เหตุการณ์ที่ผ่านๆมาก็ทำให้เศรษฐกิจประเทศชาติเสียหายมามาก  

ครม. ไฟเขียว แก้กฎหมายค้ำประกัน-จำนอง บังคับใช้ 11 ก.พ.


กฎหมายใหม่ ค้ำประกัน-จำนอง บังคับใช้ 11 ก.พ. 

           ครม. อนุมัติแก้ร่างกฎหมายการค้ำประกัน-จำนอง ให้ผู้ค้ำที่เป็นนิติบุคคลสามารถรับผิดเท่ากับลูกหนี้ และทำข้อตกลงให้ยืดเวลาได้ หากเป็นสถาบันการเงินที่เป็นผู้ค้ำประกัน บังคับใช้ 11 ก.พ. นี้

           เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้แก้ไขร่างกฎหมายการค้ำประกันและจำนอง กำหนดให้ผู้ค้ำประกันหากเป็นสถาบันการเงิน สามารถทำสัญญากับเจ้าหนี้ที่เป็นนิติบุคคลได้ ซึ่งระบุให้เจ้าหนี้สามารถเรียกเก็บหนี้กับสถาบันการเงินเสมือนเรียกเก็บกับลูกหนี้ และสถาบันการเงินมีสิทธิ์ต่อรองกับเจ้าหนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีเงินใช้ สถาบันการเงินจะจ่ายหนี้ให้ก่อน แต่เจ้าหนี้ต้องยืดเวลาให้ลูกหนี้ตามความเหมาะสม โดยร่างกฎหมายดังกล่าว มีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558

           ก่อนหน้านี้ ครม. ได้มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับไปพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นการปรับแก้กฎหมายฉบับดังกล่าว  โดยให้เชิญผู้แทนธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณา ภายหลังการหารือ ต่างเห็นชอบให้แก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับการค้ำประกันและจำนอง

           ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวยังเป็นไปตามมติ ครม. เดิม ซึ่งถือว่า เป็นร่าง พ.ร.บ. ที่ไม่อยู่ในกลุ่มกฎหมายเพิ่มประสิทธิภาพส่วนราชการตามแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ 1 ปี (ต.ค. 57 - ต.ค. 58) ตามข้อสั่งการด้านกฎหมายของนายกรัฐมนตรี และไม่ได้อยู่ในการจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วนตามมติ ครม.

           อย่างไรก็ตาม ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า การพิจารณาของ ครม. ในครั้งหน้า ขอให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องเสนอความเห็นประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย

สาวราชบุรี แจ้งความจับบิดา-มารดา ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี



หญิงสาวชาวราชบุรี พร้อมญาติ เดินทางร้องตำรวจ เผยถูก อภิรุจ-วันทนีย์ สุวะดี กลั่นแกล้ง ยัดข้อหาฉ้อโกง จนถูกดำเนินคดีและติดคุก ด้านเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบอีกครั้ง ยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

        
  เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวกระปุกรายงานว่า นางสาวศวิตา มณีจันทร์ ชาวจังหวัดราชบุรี พร้อมญาติ เดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ พลตำรวจโท ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจตรี ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังจากที่เจ้าตัวได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่ นายอภิรุจ และนางวันทนีย์ สุวะดี กลั่นแกล้งให้ตนเองได้รับโทษทางคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงเงินจำนวน 130,000 บาท และถูกศาลตัดสินจำคุก เป็นระยะเวลา 24 เดือน โดยได้ลดโทษเหลือเพียง 18 เดือน ในปี 2546 

      
    นางสาวศวิตา กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุตนเองมีอายุ 20 ปี ถูกนางวันทนีย์ กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนายอภิรุจ และได้ใช้อิทธิพลบังคับให้ดาบตำรวจ สุรินทร์ ศุกลมนัส ซึ่งเป็นลุงของตน แจ้งความเอาผิดตนฐานฉ้อโกงเงิน 130,000 บาท ทำให้ตนถูกดำเนินคดีจนติดคุก หลังจากพ้นโทษออกมาก็ไม่สามารถสมัครเรียนหรือสมัครงานที่ไหนได้เนื่องจากมีคดีอาญาติดตัว ยิ่งไปกว่านั้นครอบครัวของตนก็ไม่สามารถอยู่อย่างปกติได้อีกเนื่องจากถูกก่อ กวน ด้วยความเกรงกลัวและอับอาย ตนและครอบครัวจึงจำเป็นต้องย้ายออกจากบ้านเกิดที่จังหวัดราชบุรี 

          ส่วนสาเหตุที่สัดสินใจเข้ามาร้องขอความเป็นธรรมกับตำรวจและสื่อมวลชนในวันนี้ เนื่องจากตนเป็นผู้ถูกกล่าวหาจนทำให้ชีวิตของตนแและครองครัวต้องพังทลาย ทั้งๆที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับ นายอภิรุจ และไม่เคยฉ้อโกงเงินใครทั้งสิ้น            ทั้งนี้ พลตำรวจโท ประวุฒิ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พลตำรวจตรี ฐิติราช เป็นผู้ดูแลการสืบสวนหาความจริงของเรื่อง และรวบรวมพยานหลักฐานั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากนี้จะเรียกดาบตำรวจ สุรินทร์ ลุงของผู้เสียหาย เข้ามาสอบปากคำ อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าจะให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งหากพบว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการกลั่นแกล้งจริง ก็จะต้องมีการดำเนินคดีต่อไป พร้อมกับจะประสานกรมคุ้มครองสิทธิ์เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย และจะดำเนินการถอนประวัติอาชญากรรมให้เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง 

คสช. แจงไม่ได้ของานบอลประเพณีจุฬา ธรรมศาสตร์ งดล้อการเมือง



คสช. แจงไม่ได้ของานบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 70 งดล้อการเมือง แต่ขอให้ระมัดระวังเนื้อหา หวั่นถูกผู้ไม่หวังดี หยิบยกมาเป็นประเด็นสร้างความแตกแยก

            วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2558) สำนักข่าวอิศรา ระบุถึงกระแสข่าวกรณีที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกมาขอความร่วมมือยังมหาวิทยาลัย 2 แห่ง ให้งดจัดกิจกรรมล้อเลียนทางการเมืองในงานบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่ทำเป็นประจำทุกปี เนื่องจากอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งได้
 

            ทั้งนี้ ทางผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้ติดต่อไปยัง พ.อ. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดย พ.อ. วินธัย กล่าวว่า ในกรณีนี้เป็นการขอความร่วมมือ เนื่องจากมีการล้อเลียนกันไปมา อาจจะสร้างความขัดแย้งขึ้นอีกได้ อย่างไรก็ดีต้องสอบถามไปยังหน่วยงานทหารในพื้นที่รับผิดชอบ ว่าเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกันอย่างไร
        
            ขณะที่ พ.ท. วีระชัย ผ่องแก้ว หัวหน้าฝ่ายข่าว กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นเท่าที่ทราบเป็นการขอความร่วมมืองดกิจกรรมล้อเลียนทางการเมือง ซึ่งตอนนี้ก็ได้ไปคุยกับผู้ใหญ่ที่จัดงานให้ทราบแล้ว ต้องดูกันต่อไปว่าผู้จัดงานจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะสถานการณ์การเมืองขณะนี้กำลังไปได้ดี เลยกังวลว่าจะมีการสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก จึงเข้าไปขอความร่วมมือเท่านั้น

           ส่วนทางด้าน  นายคณาธิป ข่ายแก้ว ประธานชุมนุมเชียร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า เรื่องการล้อเลียนการเมืองเป็นเรื่องที่ทำปกติอยู่แล้วในงานบอลประเพณี โดยการแปรอักษรนั้นก็มีเนื้อหาสะท้อนภาพเหตุการณ์ในประเทศไทย ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เป็นการหยอกล้อกันระหว่างสองสถาบัน และเป็นการสร้างสีสัน สร้างมิตรภาพ ซึ่งกรณีที่ คสช. ออกมาขอความร่วมมือนั้น ตนยืนยันว่า ก็จะจัดกิจกรรมแปรอักษรต่อไปตามปกติ ไม่มีการเซ็นเซอร์ตัวเองอย่างแน่นอน 

            ขณะเดียวกัน ทางตัวแทนนักศึกษา จากองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ อมธ. กล่าวว่า ได้รับการประสานจากฝ่ายมหาวิทยาลัยว่า ทหารได้ขอความร่วมมือในการงดกิจกรรมล้อการเมืองในปีนี้ ซึ่งตนขอยืนยันว่าจะจัดกิจกรรมนี้ต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่ดำเนินการกันมาทุกปี และเราก็ใช้เวลานานมากในการเตรียมพร้อมจัดกิจกรรมดังกล่าวในวันเสาร์นี้ (7 กุมภาพันธ์ 2558)

            ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 15.54 น. คณวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ได้โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก Wassana Nanuam ระบุว่า คสช. ไม่ได้สั่งงดล้อการเมือง ในงานบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 70 แต่ขอให้ระมัดระวังเนื้อหาที่นำมาใช้ในการล้อการเมือง เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีโอกาสที่อาจถูกบางบุคคลหยิบไปบิดขยายผลส่งผลให้เกิดความไม่เรียบร้อย หรือถูกนำไปอ้างเชื่อมโยงเป็นประเด็นขัดแย้งได้

            สำหรับข้อความใน เฟซบุ๊ก Wassana Nanuam มีรายละเอียด ดังนี้

            โฆษก คสช. แจง ทหาร เปล่าสั่งห้าม ล้อเลียนการเมือง งานฟุตบอลประเพณี แต่จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เห็นพ้องทหารว่าละเอียดอ่อน ขอระวัง เกิดความขัดแย้ง

            พ.อ. วินธัย สุวารี โฆษก คสช. ชี้แจงกรณีกิจกรรมขบวนล้อการเมือง งานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เสาร์นี้ ว่า ทางผู้จัดการแข่งขัน คือ ทั้ง 2 สถาบันได้ประสานกันกับ ทางหน่วยทหารที่รับผิดชอบในระดับพื้นที่ ถึงรายละเอียดกิจกรรมว่าก่อนแข่งขัน ว่า อาจจะมีการละเล่นเชิงหยอกล้อการเมือง

            ดังนั้น ทางทหาร จึงประสานกันว่าปีนี้จะต้องระมัดระวังในเนื้อหาให้อยู่ในกรอบของความบันเทิงทางการกีฬา ตามธรรมเนียมที่พอเหมาะสม เพราะทั้งผู้จัดฯ และ จนท. เห็นตรงกัน ว่ามีโอกาสที่อาจถูกบางบุคคลหยิบไปบิดขยายผลส่งผลให้เกิดความไม่เรียบร้อย หรือถูกนำไปอ้างเชื่อมโยงเป็นประเด็นขัดแย้งได้

            "ยืนยัน จนท. ไม่ได้ห้าม แค่เห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่ทางผู้จัดฯ เข้าใจและมีแผนที่จะระมัดระวังให้อยู่แล้ว" โฆษก คสช. กล่าว 

สธ. เสนอซื้อเข็มฉีดยาแจกกลุ่มฉีดสารเสพติด ป้องกันเอดส์

     
      สธ. ปิ๊งไอเดีย เสนอของบซื้อเข็มฉีดยาแจกกลุ่มฉีดสารเสพติด ยันไม่ได้ส่งเสริม แต่เป็นการป้องกันเอดส์ เนื่องจากผู้ใช้สารเสพติดมักใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมถึงติดตั้งตู้กดถุงยางในสถานศึกษา หลังวิจัยแล้วพบว่า ช่วยลดการตั้งครรภ์ในวัยเรียนได้จริง
      วานนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2558) นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยหลังจากการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติว่า ได้รับมอบหมายให้กรมควบคุมโรค ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดเชื้อ เอชไอวี HIV (เอดส์) ด้วยการรณรงค์ให้ความเรื่องในการป้องกันโรค และส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันโรคได้ง่าย เช่น จัดตั้งตู้หยอดเหรียญซื้อถุงยางอนามัยในสถานศึกษา ทั้งกลุ่มสามัญระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป และกลุ่มอาชีวศึกษา โดยการรณรงค์ดังกล่าว ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ของปี 2558-2562
     
                นอกจากนี้ นพ.โสภณ ยังระบุอีกว่า ในที่ประชุมได้เห็นชอบให้ตั้งงบประมาณปี 2559 จัดซื้อเข็มฉีดยาสะอาดสำหรับผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีด เนื่องจากพบว่า กลุ่มนี้มีอัตราติดเชื้อเอชไอวีสูงจากการใช้เข็มฉีดยาปนกัน ซึ่งเรื่องนี้ ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้คนเสพยาแต่อย่างใด แต่เนื่องจากคนกลุ่มนี้ยังไม่สามารถเลิกยาได้อย่างเด็ดขาด จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป สนับสนุนในตรงนี้ควบคู่ไปกันการใช้สารทดแทนยาเสพติดหรือ "เมทาโดน"
     
                ขณะที่ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์  กล่าวว่า โครงการจัดซื้อเข็มฉีดยานั้น ไม่ได้ส่งเสริมให้คนเสพยาเสพติด แต่เป็นเพราะคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีจากการใช้เข็มที่ไม่สะอาด ทำให้กลุ่มคนดังกล่าว เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่าร้อยละ 47 จึงเป็นเรื่องที่ดีที่มีการตั้งงบมาสนับสนุน

                อย่างไรก็ตาม นายนิมิตร์ ยังกล่าวอีกว่า เรื่องนี้ยังต้องพิจารณาต่อว่าจะกระจายเข็มอย่างไร และคาดว่าในเบื้องต้นกรมควบคุมโรคอาจจะนำร่องในบางพื้นที่ และจะขอความร่วมมือกับผู้ที่เคยใช้สารเสพติดแต่เลิกเด็ดขาดแล้ว มาเป็นอาสาสมัครเข้าไปคุยกับกลุ่มคนที่ใช้สารเสพติดมาร่วมโครงการดังกล่าว
     

                ส่วนทางด้าน ศ. ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การติดตั้งตู้ถุงยางอนามัยในโรงเรียน มีการพูดถึงมานานแล้ว และที่ผ่านมาก็ได้มีการทำวิจัยทดลอง เช่น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถิติคุณแม่วัยใสสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ได้มีการติดตั้งตู้ถุงยางอนามัย และก็พบว่าสามารถลดปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนได้จริง ๆ จากเดิมปี 2556 มีจำนวน 200 คน ปัจจุบันอยู่ที่จำนวน 56 คน

                ศ. ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนคัดค้านเรื่องนี้มาตลอด เพราะเห็นว่าเป็นการชี้โพรงให้กระรอก แต่เมื่อเห็นผลวิจัยรวมถึงการได้ฟังเสียงเด็ก ๆ ที่บอกว่าปัจจุบันกระรอกอยู่ในโพรงอยู่แล้ว จึงคิดว่าการเข้าถึงถุงยางอนามัยโดยง่ายและมีราคาถูก น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยลดปัญหาได้ดีอีกทางหนึ่ง 

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โรงเรียนฐานปัญญา


ผังผู้บริหาร


PrawatSchool

วิสัยทัศน์และพันธกิจ

































เครื่องแบบนักเรียน

1.อนุบาล
nu

2.ประถม

แต่งกายประถม


3.มัธยม

เครื่องแต่งกายมัธยม

4.EP

เครื่องแต่งกาย EP

45/597 ถ.กัลปพฤกษ์ แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร, 10160
โทรศัพท์ 024558925-7,0814581093

โรงเรียนมวกเหล็กวิทยา


โรงเรียนมวกเหล็กวิทยา เป็นโรงเรียนรัฐบาลประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 (ปทุมธานี สระบุรี) ได้รับอนุมัติจากกรมสามัญศึกษาให้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายแบบสหศึกษา ตั้งอยู่ที่ถนนมิตรภาพ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ปัจจุบันมีนายมาโนช  รวยลาภ เป็นผู้อำนวยการ
ในระยะแรกอาศัยอาคารเรียนของโรงเรียนวัดมวกเหล็กนอก (ราษฎร์พัฒนา) มีนักเรียน 46 คน และครู 6 คน มีนายทวี จันทวร เป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน ต่อมาได้ย้ายมาตังในที่ดินราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มีเนื้อที่ 41 ไร่ 0 งาน 13 ตารางวา มีอาคารเรียน 1 หลังเป็นแบบ 216 ล ซึ่งเป็น อาคาร 1 ในปัจจุบัน ปีการศึกษา 2521 มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใหม่ และจำนวนนักเรียนชั้น ม.1 เพิ่มมากขึ้น จึงได้สร้างอาคารเรียนชั่วคราว 1 หลัง [1]
ปีการศึกษา 2522 ได้รับงบประมาณสร้างหอประชุม 1 หลังอาคารโรงฝึกงาน 3 หลัง จำนวน 6 หน่วยอาคารพยาบาลและสหกรณ์จำนวน 1 หลัง
ปีการศึกษา 2527 โรงเรียนได้รับอนุมัติให้เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีแผนการเรียน 2 แผนการเรียน ได้แก่ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ และแผนการเรียนเกษตรกรรม
ปีการศุกษา 2528 ได้รับอนุมัติให้ใช้พื้นที่ราชพัสดุในการดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อสค)เพื่อสร้างสนามกีฬา จำนวน 7 ไร่ 0 งาน 05 ตารางวา
ปีการศึกษา 2531 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการนำร่อง "การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรมัธยมศึกษา พุทธศักราช 2524 เพื่อประกอบอาชีพอิสระ"ของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนจึงได้เปิดผนการเรียนอาชีพอิสระเพิ่มขึ้นอีก 1 แผนการเรียน และในปีนี้โรงเรียนได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาการใช้หลักสูตรประจำปีการศึกษา 2532 โรงเรียนได้จัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็น 6-5-5 และในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็น 3-2-2 รวมจำนวนห้องเรียน 23 ห้อง
ปีการศึกษา 2533 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาหลักสูตร มีนักเรียน 802 คน ครู-อาจารย์ 47 คน จำนวนห้องเรียน 23 ห้อง นักการภารโรง 5 คน และพนักงานขับรถ 1 คน
ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการ"หนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน"
ปีการศึกษา 2555 มีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 68 คน ครูอัตราจ้าง 8 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,600 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน
ปีการศึกษา 2556 ปัจจุบันมีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 63 คน ครูอัตราจ้าง 12 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,589 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน
สัญลักษณ์ประจำโรงเรียน
  • ปรัชญาโรงเรียน : สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา บูชาคุณธรรม นำชุมชน
  • สีประจำโรงเรียน : สีเลือดหมู และสีเหลือง
  • ตราประจำโรงเรียน : ตราประจำโรงเรียนมีสัญลักษณ์และความหมาย ดังนี้
    • ดวงเทียน : ครูผู้ให้ความรู้แก่นักเรียน
    • รัศมี : แสงสว่างนำทางนักเรียนและชุมชน
    • ธมฺมจารี สุขํ เสติ : ความหมาย ผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นสุข
    • ภูเขา ท้องฟ้า เมฆ : ธรรมชาติที่รอบล้อมโรงเรียน
    • ต้นกล้า : นักเรียนทุกคนที่กำลังเติบโตเป็นอนาคตของชาติ
  • ต้นไม้ประจำโรงเรียน : ต้นประดู่แดง
  • เพลงประจำโรงเรียน : มาร์ชม.ว.

วิถีไทย วิถีโคนม (คาวบอย)

ปรัชญาของโรงเรียน

สามัคคี   มีวินัย  ใฝ่ศึกษา  บูชาคุณธรรม  นำชุมชน
สามัคคี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลกว่า 50 ปี ด้วยการพระราชทานอาชีพ
การเลี้ยงโคนมให้แก่ปวงชนชาวไทย  และปลูกฝังการเลี้ยงโคนมให้มั่นคงยั่งยืน  ด้วยเป็นอาชีพที่นอกจาก
จะสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนแล้ว  ยังเป็นอาชีพที่ต้องมีความร่วมมือ ร่วมใจ โดยมีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็น
สหกรณ์ อันก่อให้เกิดความสามัคคีของคนในชุมชน
มีวินัย
อาชีพการเลี้ยงโคนม นอกจากต้องใช้ความอดทนแล้ว ยังต้องมีวินัยในตนเอง เช่น การตื่นตั้งแต่เช้า
เพื่อรีดนม การให้อาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องทำให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอ เนื่องจากมีผลต่อปริมาณผลผลิต
ของน้ำนมที่จะได้
ใฝ่ศึกษา
เกษตรกรที่เลี้ยงโคนมต้องเป็นผู้ใฝ่ศึกษา โดยหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เกี่ยวกับ
เทคโนโล่ยีใหม่ ๆ ทั้งเรื่องของการป้องกันโรค หรือเพิ่มผลผลิตของปริมาณน้ำนม และยังเป็นการช่วย
ประหยัดแรงงานในอนาคต
บูชาคุณธรรม
อาชีพการเลี้ยงโคนมนอกจากจะเป็นอาชีพพระราชทานที่เกษตรกรทุกคนต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแล้ว
ยังต้องประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม โดยไม่ใส่น้ำหรือแป้งปลอมปนไปกับน้ำนม เพียง
เพื่อหวังให้ได้ปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้น
นำชุมชน
ความสำเร็จที่ได้จากการประกอบอาชีพการเลี้ยงโคนม ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตของคนในชุมชน
ทั้งในเรื่องของฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น  ทั้งในเรื่องของความสามัคคี ตลอดทั้งนำพาให้ชุมชนเป็นชุมชน
ที่เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้